1 win casino1win aviatormosbetmosbet casinopin-upmostbet aviator login1 winmostbet1 win azpin up casino1winmosbetpin up bettingparimatchlacky jet4era betmostbet casinoparimatchpin up azerbaijanlucky jet casino1win slot4rabet mirror1 win casinoluckyjet1wınmosbetaviator4rabet bangladesh1 winpin up az1win onlinepin up indialucky jetmostbet azmostbetpin up kz1win1win casino1win saytimostbet aviatorlucky jetmostbetmostbet onlinepinup loginpin uppin up1win login4r betmosbet indiamostbet azaviator mostbet

สระน้ำอุ่นโรมัน หรือ Roman Bath สำคัญอย่างไร ?อังกฤษ จึงนำชื่อไปใช้เป็นชื่อ เมือง (Bath) เอาไปตั้งเป็นชื่อมหาวิทยาลัยชั้นนำ University of Bath

โดย รศ.ดร.ต่อตระกูล ยมนาค

สระน้ำอุ่นโรมัน หรือ Roman Bath สำคัญอย่างไร ?
อังกฤษ จึงนำชื่อไปใช้เป็นชื่อ เมือง (Bath) เอาไปตั้งเป็นชื่อมหาวิทยาลัยชั้นนำ University of Bath

คิดดู เมื่อ 2 พันกว่าปีมาแล้ว วิศวกรของโรมัน สามารถสร้างสระว่ายน้ำ ขนาดใหญ่ ที่มีระบบทำความร้อน ให้สระน้ำอุ่นได้ในหน้าหนาว และมีระบบนำน้ำร้อนธรรมชาติจากน้ำพุร้อน มาไหลผ่านสระ ก่อนจะไหลลงแม่น้ำไป

สระน้ำโรมันนี้ ยังแข็งแรง น้ำยังเต็มสระ เป็นจุดท่องเที่ยวสำคัญ อยู่ในประเทศอังกฤษ สร้างโดยทหารโรมัน ที่มาครอบครองอังกฤษโบราณ (แต่ประเทศอิตาลีไม่เคยเรียกร้องเอาดินแดนคืน)

ที่สำคัญ ทางด้านวิศวกรรมการก่อสร้าง ก็คือ วิศวกรโรมันสมัยนั้น มีวัสดุก่อสร้างแค่อิฐเผา และซีเมนต์โรมันที่ทำเองจากขี้เถ้าภูเขาไฟผสมกับปูนขาว ที่ยิ่งนานยิ่งแข็ง แข็งได้ทั้งในน้ำทะเล และน้ำจืด ทนความร้อนได้สูงขนาดมีฟืนสุมไฟทำความร้อนอยู่ข้างใต้สระน้ำ ยังไม่แตกร้าว น้ำไม่รั่วซึม เหมือนปัญหาที่มีเป็นประจำกับสระคอนกรีตเสริมเหล็กในยุคนี้เลย

โรงอาบน้ำโรมันในเมือง บาธ (Bath) ประเทศอังกฤษ ได้รับความร้อนจากการผสมผสานอย่างชาญฉลาดระหว่างน้ำพุร้อนธรรมชาติและระบบทำความร้อนขั้นสูงแบบโรมันที่เรียกว่าไฮโปคอสต์ (Hypocaust)

ต่อไปนี้คือรายละเอียดการทำงานของระบบ:

  1. น้ำพุร้อนธรรมชาติ: องค์ประกอบที่สำคัญที่สุดคือน้ำพุร้อนธรรมชาติ เมืองบาธ ซึ่งชาวโรมันรู้จักกันในชื่อเมือง
    อควาอี ซูลิส (Aquae Sulis)
    สร้างขึ้นรอบ ๆ แหล่งน้ำพุร้อนธรรมชาติแห่งเดียวของสหราชอาณาจักร น้ำพุร้อนจะผุดขึ้นมาจากพื้นดินที่อุณหภูมิประมาณ 46°C (115°F) ทำให้มีน้ำอุ่นตามธรรมชาติไหลมาหล่อเลี้ยงสระน้ำหลัก ๆ อย่างต่อเนื่อง เช่น บ่ออาบน้ำใหญ่ ความร้อนจากความร้อนใต้พิภพนี้เป็นแหล่งความร้อนหลักของน้ำ
  2. ระบบไฮโปคอสต์ Hypocaust
    : ชาวโรมันใช้ไฮโปคอสต์ในการให้ความร้อนแก่พื้นและผนังห้องโดยรอบ ซึ่งเป็นระบบทำความร้อนส่วนกลางในยุคแรก ๆ ซึ่งประกอบด้วย:
  • เตาเผา: จุดไฟในเตาเผา (เรียกว่า แพรเฟอร์เนียม)
  • พื้นยกสูง: พื้นห้องที่มีเครื่องทำความร้อนถูกยกขึ้นบนกองหินหรือกระเบื้องเซรามิคที่เรียกว่าพิเล ทำให้เกิดช่องว่างด้านล่าง
  • การหมุนเวียนของอากาศร้อน: อากาศร้อนจากเตาจะหมุนเวียนผ่านช่องว่างนี้ ทำให้พื้นร้อนขึ้นจากด้านล่าง
  • ปล่องควันติดผนัง: อากาศร้อนจะลอยขึ้นผ่านกระเบื้องรูปกล่องกลวง (กระเบื้องปล่องควัน) ที่ฝังอยู่ในผนัง ทำให้ห้องร้อนขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ
    ระบบนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับห้องที่ร้อนจัด เช่น ห้องคาลดาเรียม (ห้องร้อน) ซึ่งพื้นจะร้อนจัดจนผู้อาบน้ำต้องสวมรองเท้าแตะไม้เพื่อป้องกันเท้า
    โดยพื้นฐานแล้ว ห้องอาบน้ำโรมันเป็นผลงานชิ้นเอกทางวิศวกรรมโบราณที่นำทรัพยากรความร้อนใต้พิภพธรรมชาติและเทคโนโลยีทำความร้อนขั้นสูงมาใช้อย่างชาญฉลาด เพื่อสร้างห้องอาบน้ำที่อบอุ่นและหรูหรา

*** ทุกเช้าวันจันทร์พบกับเรื่องราวที่น่าสนใจในชุด “เปิดสมองก่อสร้าง” นำมาเสนอโดยอาจารย์ต่อ

  • ระบบไฮโปคอสต์ Hypocaust
  • ชาวโรมันใช้ไฮโปคอสต์ในการให้ความร้อนแก่พื้นและผนังห้องโดยรอบ ซึ่งเป็นระบบทำความร้อนส่วนกลางในยุคแรก ๆ ซึ่งประกอบด้วย:
  • เตาเผา: จุดไฟในเตาเผา (เรียกว่า แพรเฟอร์เนียม)
  • พื้นยกสูง: พื้นห้องที่มีเครื่องทำความร้อนถูกยกขึ้นบนกองหินหรือกระเบื้องเซรามิกที่เรียกว่าพิเล ทำให้เกิดช่องว่างด้านล่าง

ใต้พื้นสระน้ำ มีช่องให้ความร้อนไหลไปทั่วใต้พื้นสระน้ำ และหมุนเวียนไปในช่องว่างในกำแพงรอบๆ ให้ความร้อนในห้อง ด้วย

ไอน้ำร้อน จากนำ้พุร้อนธรรมชาติ ที่ต่อท่อมาผ่านสระน้ำโรมันที่เมือง Bath แห่งนี้ด้วย