โดย รศ.ดร.ต่อตระกูล ยมนาค

ทำคอลัมน์ “เปิดสมองมองก่อสร้าง” มานานหวังจะให้วงการก่อสร้างไทยเจริญก้าวหน้า วันนี้ขอสักวัน “เปิดสมองมองโกงก่อสร้าง”
สักครั้ง เพราะการโกงงบก่อสร้างของประเทศ มันจะไปถึงขั้นทำลายชาติได้ ไม่ใช่แค่ตึกถล่ม สะพานพัง แต่จะถล่มประเทศไทยได้หมด ถ้าไม่สามารถหยุดยั้งมันได้
เปิดสมองมอง โกง ก่อสร้าง
เป็นข่าวหน้า 1 บุกจับ ปลัด อบจ. มุกดาหาร รีดทรัพย์ ผู้รับเหมา 10% !ของงบก่อสร้าง แลกลายเซ็นอนุมัติโครงการ
นี่เป็นแค่ 1 ในหลายพันคดี ของการทุจริตโกง จากงบประมาณก่อสร้าง ตั้งแต่ระดับ อบต. ถึง อบจ. และเทศบาลต่างๆ
ล่าสุด 24 สค2568 มีผลสำรวจ จากสวนดุสิตโพล ยืนยันว่า ทุจริตฝังรากลึก
93.47% ตอบว่าปัญหาการทุจริตในสังคมไทยมี ความรุนแรงมาก
86.93% มีความกังวลในการทุจริตงบประมาณภาครัฐ
งบประมาณภาครัฐที่ว่า ก็คืองบประมาณด้านการใช้จ่ายในการก่อสร้างต่างๆ
เมื่อไปค้นหาข้อมูล ถาม AI ที่ว่ารอบรู้ ถามอะไรตอบได้หมด
ถามว่า ล่าสุดมี ข้าราชการไทยติดคุก เรื่องทุจริตก่อสร้าง เท่าใด ?
AI ยัง งง บอกว่าจนปัญญา AI เพราะไม่มีหน่วยงานใดรวบรวม และเผยแพร่ เป็นข้อมูลที่เข้าถึงได้
อ่านรายงาน จาก AI ยาวๆ ได้ดังนี้:
**************
การวิเคราะห์เชิงลึกสถิติคำพิพากษาคดีทุจริตของข้าราชการองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
บทสรุปสำหรับผู้บริหาร
——————————-
รายงานฉบับนี้จัดทำขึ้นเพื่อตอบข้อซักถามเกี่ยวกับจำนวนข้าราชการองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) โดยเฉพาะองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) และองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ที่ล่าสุดถูกศาลพิพากษาจำคุกในคดีทุจริต จากการวิเคราะห์ข้อมูลที่เผยแพร่ต่อสาธารณะ
พบว่าไม่มีหน่วยงานกลางใดในประเทศไทยที่รวบรวมและเปิดเผยตัวเลขรวมดังกล่าวอย่างเป็นทางการและเป็นปัจจุบัน ทำให้ไม่สามารถระบุตัวเลขที่แน่ชัดได้
อย่างไรก็ตาม รายงานนี้ได้ทำการสังเคราะห์ข้อมูลจากแหล่งข่าวสาธารณะและรายงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อนำเสนอภาพรวมที่ครอบคลุมและแม่นยำที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
การวิเคราะห์ข้อมูลเผยให้เห็นถึงแนวโน้มที่ชัดเจน 2ประการ:
* ปริมาณข้อกล่าวหาที่สูง: องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นถูกร้องเรียนกล่าวหาเรื่องการทุจริตมากที่สุดเมื่อเทียบกับหน่วยงานราชการอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่ม อบต. และเทศบาล ซึ่งสะท้อนถึงความเปราะบางเชิงโครงสร้างต่อการทุจริต
* การลงโทษที่รุนแรงของศาล: แม้จะมีข้อมูลเฉพาะคดีที่ถูกเผยแพร่สู่สาธารณะเพียงไม่กี่กรณี แต่กรณีศึกษาเหล่านั้นกลับแสดงให้เห็นถึงความเด็ดขาดของกระบวนการยุติธรรม โดยศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบได้พิพากษาลงโทษจำคุกในระยะเวลาที่ยาวนานและไม่รอลงอาญา ซึ่งเป็นสัญญาณที่บ่งชี้ถึงความมุ่งมั่นในการปราบปรามการทุจริต
ดังนั้น วัตถุประสงค์หลักของรายงานฉบับนี้จึงไม่ใช่การให้ตัวเลขเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการนำเสนอการวิเคราะห์เชิงลึกเกี่ยวกับสถานการณ์การดำเนินคดีทุจริตในปัจจุบัน โดยอ้างอิงจากข้อมูลที่มีอยู่ เพื่อให้เห็นถึงความซับซ้อนของปัญหาและช่องว่างของข้อมูลที่จำเป็นต้องได้รับการแก้ไขเพื่อเสริมสร้างธรรมาภิบาลและการตรวจสอบได้ของภาครัฐในระยะยาว
บทนำ: บริบทและกรอบการวิเคราะห์
ความเข้าใจในคำถามและขอบเขตของการวิเคราะห์
คำถามของผู้ใช้งานมุ่งเน้นที่การค้นหาจำนวนรวมของข้าราชการไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าหน้าที่จากองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) และองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ที่ถูกศาลพิพากษาจำคุกในคดีทุจริต คำว่า “ล่าสุด” ในคำถามชี้ให้เห็นถึงความต้องการข้อมูลที่เป็นปัจจุบัน ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วน จากการตรวจสอบแหล่งข้อมูลสาธารณะ ไม่ว่าจะเป็นรายงานประจำปีของหน่วยงานรัฐหรือรายงานข่าวทั่วไป ไม่พบตัวเลขที่รวบรวมไว้เป็นชุดข้อมูลเดียวและเป็นปัจจุบันตามที่ผู้ใช้งานต้องการ
ทำให้การให้คำตอบเป็นตัวเลขที่แน่นอนเพียงตัวเลขเดียวเป็นไปไม่ได้ รายงานฉบับนี้จึงจะใช้วิธีการวิเคราะห์เชิงลึกจากข้อมูลที่มีอยู่ โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างภาพที่สมบูรณ์ที่สุดเกี่ยวกับแนวโน้มและลักษณะของการพิพากษาคดีทุจริตในประเทศไทย
ภาพรวมระบบการดำเนินคดีทุจริตของไทย
การทำความเข้าใจกระบวนการดำเนินคดีทุจริตในประเทศไทยเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้สามารถตีความข้อมูลได้อย่างถูกต้อง กระบวนการดังกล่าวเกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงานที่มีหน้าที่และบทบาทที่แตกต่างกัน ตั้งแต่การรับเรื่องร้องเรียนไปจนถึงการพิพากษาคดี
* สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.): มีอำนาจหน้าที่หลักในการไต่สวนและชี้มูลความผิดคดีทุจริตที่เกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่ของรัฐระดับสูงหรือมีตำแหน่งตั้งแต่ผู้อำนวยการขึ้นไป
* สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.): รับผิดชอบการไต่สวนและชี้มูลความผิดคดีทุจริตของเจ้าหน้าที่ของรัฐในตำแหน่งที่ต่ำกว่าที่อยู่ในอำนาจของ ป.ป.ช.
* ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ: เป็นศาลเฉพาะทางที่จัดตั้งขึ้นเพื่อพิจารณาคดีทุจริตของเจ้าหน้าที่รัฐโดยเฉพาะ ซึ่งมีทั้งศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางและศาลภาคต่างๆ ที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีในพื้นที่ที่เกี่ยวข้อง
ขั้นตอนการดำเนินคดีเริ่มต้นจากการรับเรื่องร้องเรียนหรือกล่าวหาโดย ป.ป.ช. หรือ ป.ป.ท. จากนั้นจึงเข้าสู่กระบวนการไต่สวน หากมีมูลความผิดจึงจะส่งสำนวนให้อัยการสูงสุดเพื่อดำเนินการฟ้องศาล และสุดท้ายศาลจะทำการพิจารณาและมีคำพิพากษาในที่สุด การแยกส่วนการทำงานของแต่ละหน่วยงานนี้เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ข้อมูลในแต่ละขั้นตอนไม่ถูกรวบรวมไว้ในฐานข้อมูลเดียวที่เปิดเผยต่อสาธารณะ
สถิติเชิงปริมาณและการวิเคราะห์แนวโน้ม
แนวโน้มการร้องเรียนและกล่าวหาการทุจริต
แม้จะไม่มีข้อมูลรวมของคำพิพากษาจำคุก แต่สถิติการร้องเรียนและกล่าวหาที่ถูกส่งถึงหน่วยงานปราบปรามการทุจริตสามารถให้บริบทที่สำคัญเกี่ยวกับระดับความรุนแรงของปัญหาการทุจริตในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้
รายงานสถานการณ์การทุจริตในประเทศไทยประจำปี พ.ศ. 2566 ระบุอย่างชัดเจนว่า
หน่วยงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นกลุ่มที่ถูกกล่าวหามากที่สุด คิดเป็น 1,739 เรื่อง หรือร้อยละ 44.96 ของเรื่องที่ถูกกล่าวหา
ทั้งหมดที่เข้าสู่ระบบตรวจรับคำกล่าวหา (PESCA) และระบบบริหารจัดการเรื่องร้องเรียนและคดี (CCMS) ของสำนักงาน ป.ป.ช. ข้อมูลจากรายงานของ ป.ป.ช. ยังยืนยันว่าในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมามีเรื่องร้องเรียนการทุจริตเข้ามามากกว่า 4,000 เรื่อง ซึ่งในจำนวนนี้มีเรื่องที่อยู่ระหว่างดำเนินการถึง 613 เรื่อง
นอกจากนี้ มูลค่าความเสียหายจากคดีทุจริตที่ ป.ป.ช. ได้รับเรื่องร้องเรียนในปี 2566 ยังมีมูลค่ารวมสูงถึงกว่า 13,000 ล้านบาท
ตัวเลขเหล่านี้ไม่ได้ตอบคำถามโดยตรงเกี่ยวกับจำนวนผู้ที่ถูกตัดสินจำคุก แต่สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่าการทุจริตในระดับท้องถิ่นเป็นปัญหาที่แพร่หลายและมีผลกระทบทางการเงินอย่างมหาศาล
ความแตกต่างระหว่างข้อกล่าวหาและคำพิพากษา
จากการวิเคราะห์ข้อมูลดังกล่าว สิ่งที่ปรากฏอย่างชัดเจนคือความเหลื่อมล้ำขนาดใหญ่ระหว่างจำนวนข้อกล่าวหาที่สูงลิ่วกับจำนวนคำพิพากษาที่ถูกเปิดเผยต่อสาธารณะที่มีเพียงไม่กี่กรณี ความแตกต่างนี้สามารถอธิบายได้จากหลายสาเหตุที่ซับซ้อน ประการแรก เรื่องร้องเรียนจำนวนมากอาจยังอยู่ในขั้นตอนการตรวจสอบข้อเท็จจริงหรือการไต่สวนซึ่งต้องใช้ระยะเวลานาน ประการที่สอง เรื่องร้องเรียนที่เข้ามาบางส่วนอาจไม่ปรากฏหลักฐานเพียงพอที่จะนำไปสู่การชี้มูลความผิดและดำเนินคดีในชั้นศาลได้ และประการสุดท้าย
แม้คดีจะเข้าสู่การพิจารณาของศาลแล้ว แต่ข้อมูลคำพิพากษาโดยสรุปก็ไม่ได้ถูกรวบรวมและเผยแพร่ในลักษณะที่เข้าถึงได้ง่ายสำหรับประชาชนทั่วไป
ความไม่สมดุลนี้ชี้ให้เห็นถึง “จุดคอขวด” ที่อาจเกิดขึ้นในกระบวนการปราบปรามการทุจริตทั้งหมด ซึ่งทำให้เป็นเรื่องท้าทายอย่างยิ่งในการประเมินประสิทธิภาพของระบบโดยรวมโดยอ้างอิงจากจำนวนคำพิพากษาเพียงอย่างเดียว สถิติการร้องเรียนแสดงให้เห็นถึงความรุนแรงของปัญหา ส่วนคำพิพากษาที่ถูกเปิดเผยแสดงให้เห็นถึงผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นในกรณีที่สามารถนำไปสู่การดำเนินคดีได้สำเร็จ
| Metric | จำนวน (ปีงบประมาณ 2566 หรือล่าสุด) | แหล่งที่มาของข้อมูล |
|—|—|—|
| จำนวนเรื่องร้องเรียนทั้งหมดที่ ป.ป.ช. รับ | มากกว่า 4,000 เรื่อง (ช่วง 6 เดือน) | |
| จำนวนเรื่องที่ร้องเรียนกล่าวหา อปท. (อบต. เทศบาล) | 1,739 เรื่อง (ร้อยละ 44.96) | |
| มูลค่าความเสียหายรวม (โครงการที่ถูกร้องเรียน) | 13,000 ล้านบาท | |
| จำนวนคดีที่ศาลอาญาคดีทุจริตฯ พิพากษาเสร็จสิ้น | 762 คดี (ข้อมูลปี 2561) | |
การวิเคราะห์เชิงคุณภาพ: กรณีศึกษาคำพิพากษาล่าสุด
แม้จะไม่มีข้อมูลรวม แต่การตรวจสอบกรณีศึกษาเฉพาะที่ถูกรายงานโดยสื่อมวลชนอย่างเป็นทางการก็สามารถให้คำตอบที่ชัดเจนและตรงประเด็นมากที่สุดเกี่ยวกับคำพิพากษาล่าสุดในคดีทุจริตของเจ้าหน้าที่ อบจ. และ อบต. ได้
กรณีศึกษาที่ 1: คดีทุจริตใน อบต.
กรณีล่าสุดที่ถูกรายงานโดยสื่อมวลชนอย่างแพร่หลายคือคำพิพากษาของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 6 ที่ตัดสินจำคุก “รักษาการผู้อำนวยการกองคลังของ อบต.” เป็นเวลา 50 ปี โดยไม่รอลงอาญาในคดีทุจริตยักยอกเงินรายรับของ อบต. การพิพากษาลงโทษจำคุกในระยะเวลาที่ยาวนานเช่นนี้และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการไม่รอลงอาญาแสดงให้เห็นถึงความรุนแรงของคดีในสายตาของศาลและเจตนารมณ์ในการลงโทษอย่างเด็ดขาดเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง นอกจากนี้ ยังมีรายงานข่าวจากคอลัมน์หมายเลข 7 ของช่อง 7HD ที่ระบุว่าตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา มีนายก อบต. กว่า 10 รายที่ถูกตัดสินว่ามีความผิดจริงตามที่ ป.ป.ช. กล่าวหา ซึ่งยืนยันแนวโน้มการดำเนินคดีที่ประสบความสำเร็จกับเจ้าหน้าที่ระดับท้องถิ่น
กรณีศึกษาที่ 2: คดีทุจริตใน อบจ.
นอกจากนี้ยังพบกรณีทุจริตของเจ้าหน้าที่ในระดับ อบจ. ซึ่งเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นขนาดใหญ่ โดยเฉพาะในคดีที่มีความซับซ้อนและมีมูลค่าความเสียหายสูง:
* อดีตนายก อบจ. อุบลราชธานี: นายพรชัย โควสุรัตน์ อดีตนายก อบจ. 3 สมัย ถูกร้องเรียนถึง 42 คดี ซึ่งหลายคดีถูกศาลอาญาคดีทุจริตฯ พิพากษาจำคุกรวมกันเป็นระยะเวลากว่า 30 ปี ซึ่งทำให้เขาถูกยกให้เป็นอดีตนายก อบจ. ที่มีคดีทุจริตมากที่สุดในประเทศ
* อดีตนายก อบจ. ปทุมธานี: นายชาญ พวงเพ็ชร์ ถูก ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดในคดีจัดซื้อถุงยังชีพเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในปี 2554 และศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาจำคุก 6 ปี 18 เดือน นอกจากนี้ยังมีความผิดในคดีจัดซื้อเครื่องออกกำลังกายมูลค่ากว่า 40 ล้านบาทที่อยู่ระหว่างการไต่สวนของ ป.ป.ช.
การวิเคราะห์จากกรณีศึกษาเหล่านี้ชี้ให้เห็นถึงความจริงจังของกระบวนการยุติธรรมในคดีทุจริต และยังสะท้อนให้เห็นว่าตำแหน่งที่มีอำนาจในการจัดสรรงบประมาณและการจัดซื้อจัดจ้าง เช่น นายก อบจ. หรือผู้อำนวยการกองคลัง มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดการทุจริตขึ้น ซึ่งบ่งชี้ว่าการมุ่งเน้นการตรวจสอบและเสริมสร้างธรรมาภิบาลในตำแหน่งเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง
| ตำแหน่งของเจ้าหน้าที่ | ลักษณะความผิด | คำพิพากษาจำคุก | แหล่งข้อมูล |
|—|—|—|—|
| รักษาการ ผอ.กองคลัง อบต. | ทุจริตเบียดบังเงินรายรับ | 50 ปี (ไม่รอลงอาญา) | |
| อดีตนายก อบจ.อุบลราชธานี | ทุจริตจัดซื้อจัดจ้าง (หลายคดี) | รวมกว่า 30 ปี | |
| อดีตนายก อบจ.ปทุมธานี | ทุจริตจัดซื้อถุงยังชีพ | 6 ปี 18 เดือน | |
| ข้าราชการระดับ 8 ศธ. | ทุจริตเงินกองทุนเสมาฯ | รวม 93 ปี 279 เดือน | |
ความเด็ดขาดของกระบวนการยุติธรรม
จากการพิจารณาโทษจำคุกที่ศาลพิพากษาในกรณีศึกษาข้างต้น เช่น การจำคุก 50 ปีในคดีเดียว หรือการสั่งลงโทษรวมทุกกระทงความผิดให้จำคุก 93 ปี 279 เดือนในกรณีของข้าราชการกระทรวงศึกษาธิการ สะท้อนให้เห็นถึงความรุนแรงของบทลงโทษที่เพิ่มขึ้นตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับคดีทุจริต ศาลไม่ได้เพียงแต่ตัดสินว่ามีความผิด แต่ยังใช้มาตรการลงโทษสูงสุดเพื่อเป็นบทเรียนและสร้างผลกระทบในวงกว้าง คำพิพากษาที่ไม่รอลงอาญาในทุกกรณีที่กล่าวถึงยังเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่าการทุจริตเป็นอาชญากรรมที่ร้ายแรงและไม่สมควรได้รับการผ่อนปรนใดๆ
ข้อจำกัดและช่องว่างของข้อมูลสาธารณะ
ประเด็นที่สำคัญที่สุดที่รายงานฉบับนี้ต้องเน้นย้ำคือการขาดแคลนข้อมูลที่รวมศูนย์และเข้าถึงได้ง่ายสำหรับสาธารณะ จากการตรวจสอบรายงานผลการดำเนินงานเกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามการทุจริตของกระทรวงมหาดไทย และรายงานประจำปีของ ป.ป.ช. รวมถึงสำนักงาน ป.ป.ท. พบว่ารายงานเหล่านี้มักจะนำเสนอข้อมูลในแง่ของแผนปฏิบัติการ, มาตรการป้องกัน, จำนวนเรื่องร้องเรียนที่รับไว้ หรือกรณีศึกษาเฉพาะที่ถูกดำเนินคดีแล้ว
แต่ไม่ได้ให้ตัวเลขสรุปที่แน่นอนเกี่ยวกับจำนวนข้าราชการที่ถูกศาลตัดสินจำคุกในแต่ละปี
การเข้าถึงเอกสารบางฉบับก็ยังเป็นเรื่องยาก ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการวิเคราะห์เชิงปริมาณอย่างยิ่ง
การไม่มีฐานข้อมูลรวมของคำพิพากษาทำให้เกิดช่องว่างที่สำคัญหลายประการ:
* การประเมินผลที่ขาดความน่าเชื่อถือ: หากไม่มีข้อมูลที่ครบถ้วนเกี่ยวกับผลลัพธ์สุดท้ายของคดี ประชาชนและนักวิจัยก็ไม่สามารถประเมินได้อย่างแม่นยำว่าระบบการปราบปรามการทุจริตของประเทศมีประสิทธิภาพเพียงใด และมีจุดที่ต้องปรับปรุงในขั้นตอนใดบ้าง
* การขาดการตรวจสอบได้: การที่ข้อมูลคำพิพากษาไม่ถูกเผยแพร่อย่างเป็นระบบ ทำให้การตรวจสอบการทำงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตั้งแต่ต้นจนจบกระบวนการเป็นไปอย่างจำกัด ประชาชนต้องพึ่งพาข้อมูลจากแหล่งข่าวเพียงบางส่วน ซึ่งอาจไม่ได้สะท้อนภาพรวมทั้งหมดของสถานการณ์
บทสรุปและข้อเสนอแนะ
แม้จะไม่สามารถระบุตัวเลขรวมของข้าราชการ อบจ. และ อบต. ที่ถูกศาลพิพากษาจำคุกได้ แต่ข้อมูลที่รวบรวมมาสามารถสรุปได้ว่า:
* องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นกลุ่มที่มีการร้องเรียนทุจริตมากที่สุด สะท้อนถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการแก้ไขปัญหาในระดับพื้นที่
* ศาลอาญาคดีทุจริตฯ มีความเด็ดขาดในการพิพากษาลงโทษจำคุกในระยะเวลาที่ยาวนานและไม่รอลงอาญาในคดีที่ความผิดถูกพิสูจน์แล้ว ซึ่งแสดงถึงความมุ่งมั่นของฝ่ายตุลาการในการต่อสู้กับปัญหาการทุจริต
* ช่องว่างที่สำคัญที่สุดคือการขาดฐานข้อมูลกลางที่รวบรวมคำพิพากษาของศาลในคดีทุจริต ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการสร้างความโปร่งใสและการตรวจสอบได้ของรัฐ
เพื่อเสริมสร้างความโปร่งใสและสร้างความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมของไทยในระยะยาว หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรพิจารณาจัดทำและเผยแพร่ฐานข้อมูลกลางของคำพิพากษาคดีทุจริตที่ประชาชนสามารถเข้าถึงได้โดยง่ายและเป็นปัจจุบัน ซึ่งจะช่วยให้การติดตามและประเมินผลการทำงานของหน่วยงานปราบปรามการทุจริตเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น
****************
*** ทุกเช้าวันจันทร์พบกับเรื่องราวที่น่าสนใจในวงการก่อสร้างในชุด
“เปิดสมองมองก่อสร้าง”
ค้นหานำมาเสนอโดยอาจารย์ต่อ

ข่าวหน้า 1 นสพ. แนวหน้า ฉบับวันเสาร์ที่ 23 สิงหาคม 2568
อ่านรายละเอียด ได้ใน:
https://www.naewna.com/local/908975

โพลล่าสุด 24 สค2568 มีผลว่า ทุจริตฝังรากลึก
93.47% ตอบว่าปัญหาการทุจริตในสังคมไทยมี ความรุนแรงมาก
78.50% ไม่เชื่อมั่นต่อกระบวนการตรวจสอบ และลงโทษผู้เกี่ยวข้องกับการทุจริตปัจจุบัน
86.93% มีความกังวลในการทุจริตงบประมาณภาครัฐ
( งบประมาณภาครัฐที่ว่า ส่วนใหญ่ก็คืองบประมาณด้านการใช้จ่ายในการก่อสร้างต่างๆ )